Sunday, October 09, 2005

ในอารมณ์ของความฝัน

ฉันเป็นคนฝันเก่ง ฝันได้เป็นเรื่องเป็นราว ฝันได้มีเนื้อหา มีสีสัน ถ้าฝันๆอยู่เพลินๆกำลังสนุกแล้วโดนปลุก ก็สามารถนอนใหม่ เพื่อที่จะฝันเรื่องเดิมต่อได้อย่างสนิทแนบเนียนดี
แต่น่าเสียดายที่เป็นความเก่งที่อวดใครไปก็เท่านั้น บางคนฟังไปก็ส่ายหน้า บ้างก็ว่า "ฝันเป็นตุเป็นตะ"

มีคนไม่น้อยพยายามตีความความฝัน
ซิกมันด์ ฟรอยด์ บอกว่า ถ้าฝันเห็นรถไฟเข้าถ้ำ หมายความว่าจิตใจคุณฝักใฝ่เรื่องลามก เพราะมันบ่งบอกป็นนัยถึงการร่วมเพศ แต่ป้าแต้ว แม่ค้าลูกชิ้นแถวบ้าน บอกว่า อันรถไฟเข้าถ้ำย่อมตีความได้ว่ารถไฟผอมๆยาวๆนั้นแน่นอนต้องเป็น 1 ส่วนถ้ำนั้นก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก 0 เมื่อฝันแล้วให้พลิกแพลงออกมาเป็น 01 หรือไม่ก็ 10

เป็นธรรมดาที่ความฝันมักจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล
ในข้อนี้ฉันไม่ได้หมายถึงเนื้อหาของความฝัน เช่นฝันว่าโดนถุงกล้วยแขกวิ่งไล่กวด หรือว่ายน้ำเล่นกับปลาสวรรค์ทาโร่ หรืออะไรทำนองนั้น ซิกมันด์ ฟรอยด์อาจจะเทียบความหมายของปลาสวรรค์ทาโร่ได้ว่า คือเส้นผมของคนรักที่เราแอบปราถนาจะลูบคลำ แต่สำหรับเราๆท่านๆ ถ้าไม่ได้กำลังทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่องความฝัน ก็จงปล่อยให้ปลาสวรรค์ทาโร่เป็นแค่ปลาสวรรค์ต่อไป

แล้วจะมาพูดเรื่องความฝันที่ไม่สมเหตุสมผลไปทำไม
ความสนใจของฉันต่อเรื่องความฝันนั้นไม่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ภาพหรือความเก็บกดใดๆที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ
ฉันมักจะคิดถึงเรื่องอารมณ์อันไร้เหตุผลของคนเราที่ตอบสนองต่อความฝันนั้นๆมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราฝันว่าโดนถุงกล้วยแขกวิ่งไล่กวด ในฝันเราจะรู้สึกเต็มที่ว่านี่ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองจนบรรยายไม่ถูก เราวิ่งหนีถุงกล้วยแขกสีขาวๆที่มีข้อสอบสมัยเรียนชั้นป.4 ประดับอยู่ลายพร้อย จนเหงื่อท่วม โดยไม่รู้สึกงี่เง่า

เพราะในความฝันนั้น ดูเหมือนว่า สมองส่วนที่บรรจุความเป็นเหตุเป็นผลนั้นจะนอนหลับพักผ่อนไปพร้อมกับร่างกาย คงเหลือไว้แต่อารมณ์และสัญชาติญาณล้วนๆ ที่นำพาความฝันไป ดังนั้น ในฝันเราจึงไม่สามารถฉุกใจคิดได้ว่า การวิ่งหนีถุงกล้วยแขกนั้น มันจะดูปัญญาอ่อนขนาดไหนในความเป็นจริง

ในโลกเมื่อยามตื่น เราใช้ชีวิตที่ถูกอบรมมาด้วยเหตุผลอย่างเคร่งครัด ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเหมือนอารมณ์หรือสัญชาติญาณ แต่เหตุผลก็สวมอยู่กับจิตใจเราอย่างแนบแน่นใช่ว่าจะถอดออกได้ง่ายๆ ดังนั้นในความฝัน เมื่อเหตุผลถูกถอดออกไปพร้อมกับร่างกายที่นอนหลับ ฉันมักจะค้นพบอารมณ์ของตัวเองที่ไม่คิดว่ามีอยู่ ไม่เคยรู้จัก โผล่มาทักทายในรูปแบบของฝันเป็นตุเป็นตะอยู่เสมอๆ

ฉันคิดว่าเกลียดคนคนหนึ่งนิดหน่อยแต่พยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่ามันเป็นเพียงอคติ เป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิตวัยรุ่น ซึ่งอีกหน่อยฉันคงจะค้นพบว่า ที่จริงสองเรานั้น รักกันแทบกลืนกิน แต่บ่อยครั้งมากที่ฉันฝันว่าฉันทะเลาะกับคนคนนั้นแบบดุเดือดเลือดพล่าน
จะทำยังไงได้นอกจากคิดว่า อยู่ห่างๆคนคนนี้ไว้ก้ดีเหมือนกัน ฉันคงจะเกลียดเขาเอาจริงๆ

ฉันฝันว่าถูกคนที่ฉันรักทำร้ายจิตใจ
ฉันเงื้อมือขึ้นเพื่อจะตบหน้าเขาอย่างที่เวลาตื่นฉันจะไม่มีวันทำ แต่มือที่สัมผัสใบหน้าเขา กลับเบาหวิว ไร้เรี่ยวแรง
ฉันรักเขาจนไม่สามารถจะทำร้ายเขาได้ แม้ยามไม่มีเหตุผลใดๆบังคับก็ตาม

ฉันเคยไม่แน่ใจว่าตัวเองรักพ่อแม่หรือไม่ หรือแค่ทำตัวไปตามโปรแกรมลูกกตัญญู
แต่เมื่อฝันว่าพ่อตาย ฉันร้องห่มร้องไห้ จนกระทั่งตื่นมาพบว่าตัวเองกำลังนอนร้องไห้สะอื้นฮั่กๆอยู่ ฉันได้คำตอบทันทีว่าฉันยินดีแลกทุกอย่างเพื่อให้มันยังคงเป็นแค่ฝันตลอดไป

สำหรับฉัน การค้นพบและยอมรับตัวตนเล็กๆเจ้าอารมณ์ไร้เหตุผลแต่ตรงไปตรงมาของตัวเองที่แอบอยู่แต่ในความฝันโดยไม่กล้าออกมาแสดงตัวในความเป็นจริง บางครั้งก็สร้างคำตอบดีๆให้กับชีวิต

และในเมื่อไม่ว่าพระเจ้าหรือธรรมชาติก็ตามที กำหนดมาให้คนเราใช้เวลาตั้ง 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการหลับและฝัน ก็แสดงว่า การฝันของคนเรานั้นคงพอจะมีมีความสำคัญอยู่บ้าง

No comments: