Wednesday, August 24, 2005

จันทร์เจ้าเอ๋ย

20 ปีก่อน สมัยที่กลางคืนในเชียงใหม่มีพระจันทร์ดวงโต มีดาวเต็มฟ้า ฉันยังมีความสุขมากมายทั้งๆที่ครอบครัวเราไม่มีอะไรเลย ถ้ายึดถือเอาทรัพย์สิน เงินทอง ข้าวของ การศึกษาเป็นต้นทุนในชีวิต ต้นทุนของฉันขณะนั้นเกือบๆจะเป็นศูนย์ บ้านเราไม่มีตู้เย็น ไม่มีทีวี ไม่มีกระทั่งเก้าอี้ มีแต่เสื่อไว้นอนฟังนิทาน แล้วมีมุ้งครอบเตียงสี่ด้านเป็นหนังสี่จอ

แต่นั่นถือว่าเป็นต้นทุนที่ดีแล้วเมื่อเทียบกับพ่อแม่ตอนเด็กเพราะต้นทุนของพวกท่านนั้นติดลบโดยสิ้นเชิง ฉันเล่าเรื่องนี้ด้วยความภูมิใจ เพราะชนชั้นติดลบอย่างพ่อกับแม่ทำให้ฉันได้มานั่งใช้คอมพิวเตอร์ เล่นอินเตอร์เน็ต มีปริญญามหาวิทยาลัย เรียนตัวเองว่าเว็บดีไซน์เนอร์ได้อย่างทุกวันนี้

พ่อแม่ไม่ใช่คนอมทุกข์กับชีวิต ไม่เคยมานั่งคิดว่าทำไมต้องเกิดมาลำบาก ท่านแค่ใช้ชีวิตผ่านไปให้ได้เหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราล้วนต้องพบเจอความทุกข์ แต่เพราะความหนักหนาขอชีวิตที่ต้องเจอมาทั้งหมด มันก็ทำให้พ่อกับแม่ไม่อาจเป็นเหมือนพ่อกับแม่ในนิยาย

เมื่อฉันทำผิดฉันจะถูกลงโทษโดยไม่ซักถาม ถ้าฉันร้องไห้ถ้าหยุดร้องเองไม่ได้ฉันจะถูกตีซ้ำ และ เมื่อพ่อแม่ตัดสินใจอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายความกับฉันให้ยุ่งยาก ระหว่างฉันกับพ่อแม่จึงไม่ใช่จิตวิทยาการเลี้ยงลูก ไม่ใช่การทำความเข้าใจ ที่พ่อกับแม่เลี้ยงฉันมาก็ใช้แค่ความรักเท่านั้น

แต่ก็น่าแปลกที่ฉันเองก็ไม่ได้ต้องเป็นไปตามพล็อตลูกในนิยาย ถึงจะไม่ได้รับความเข้าใจ ถึงจะขาดความเอาใจใส่ ขาดการอธิบายเหตุผล แต่ฉันก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นเด็กมีปัญหาหรืออกนอกลู่นอกทาง อาจะเพราะเมื่อมองพ่อแม่ทุกครั้ง สิ่งที่ฉันเห็นก็มีแต่ความรักเท่านั้นเช่นกัน


คืนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่เชียงใหม่มีดวงจันทร์กลมโตและดาวเต็มฟ้า ฉันยืนร้องไห้อยู่ข้างหน้าต่างบ้านยาย มองทีวีขาวดำภายในห้องที่กำลังฉายละครในขณะที่ฉันอยากดูหนังกำลังภายในอีกช่องใจจะขาด ฉันเพิ่งรู้จักและเข้าความเจ็บปวดของการที่ไม่อาจเป็นเจ้าของ การที่ได้แต่มองของที่เป็นของคนอื่นเป็นครั้งแรก

คืนนั้นแม่เดินมาจูงแขนพาฉันกลับเข้าบ้าน จนฉันแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่ฉันร้องไห้โดยไม่มีเหตุผลฉันจะถูกตีซ้ำโทษฐานที่เอาแต่ใจ ไม่ยอมเข้าใจเหตุผล ยิ่งโดยเฉพาะไปร้องไห้ที่บ้านยาย ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็จะถูกลงโทษ เพราะแม่ไม่ต้องการให้ฉันไปทำเรื่องรบกวนใคร

แต่คืนนั้นมือที่จูงมือฉันแค่บีบเบาๆ แล้วกลายเป็นดึงเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน แม่พาฉันเข้านอนโดยเปิดวิทยุสถานีที่ถ่ายทอดเสียงจากรายการทีวีให้ฟังพลางบอกว่า ไว้เรามีทีวีของตัวเองเมื่อไหร่ค่อยดูเรื่องที่เราชอบให้สบายใจ เรานอนฟังหนังจีนกำลังภายใน พร้อมกับมองพระจันทร์ลูกใหญ่ที่ส่องแสงผ่านกรอบหน้าต่างไร้ม่านจนฉันหลับผล็อยหลับในเวลาไม่นาน


ฉันเคยกลับไปคิดหลายครั้งว่า ทั้งที่คืนนั้นฉันช่างเอาแต่ใจ ฉันร้องไห้เพียงเพราะแค่อยากดูทีวี แต่เพราะอะไรถึงได้รับการปลอบอย่างอ่อนโยนแทนการสมควรถูกตี จนถึงตอนนี้เมื่อฉันพอจะรู้บ้างว่าชีวิตคืออะไรฉันถึงคิดว่าฉันเข้าใจแม่

คืนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่เชียงใหม่มีดวงจันทร์กลมโตและดาวเต็มฟ้านั้น คนที่เสียใจเจ็บปวดที่สุดไม่ใช่ฉัน ตอนที่นอนมองพระจันทร์ด้วยกัน ในใจแม่คงจะร้องว่า

"จันทร์เจ้าเอ๋ยขอข้าวขอแกง
ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า
ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่
ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง
ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน
ขอละครให้น้องข้าดู......."

1 comment:

Anonymous said...

ยังไม่เคยบอกพ่อกับแม่เลย
รักพ่อกับแม่